ในชีวิตประจำวันเราต้องเจอกับเสียงดังหลากหลายรูปแบบ จากสภาพแวดล้อมทั้งในบ้านและนอกบ้านคุณจะต้องเจอกับเสียงดังที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ 100% ซึ่งเสียงดังเหล่านี้จะเข้าไปทำลายการได้ยินของคุณอย่างช้า ๆ หากคุณต้องเจอกับภาวะเสียงที่ดังเกินกว่ามาตรฐานอยู่บ่อยครั้งเซลล์ภายในหูของคุณจะเสื่อมสภาพลงเรื่อย ๆ ในบางรายอาจจะไม่มีอาการทันที ต้องใช้เวลาหลายปีจึงจะสังเกตได้ว่าระบบการได้ยินเสียงของคุณมีปัญหา ดังนั้นคุณจำเป็นต้องมี อุปกรณ์เซฟตี้เพื่อถนอมหูและป้องกันการสูญเสียด้านการได้ยิน
คนเราได้ยินเสียงได้อย่างไร?
ใบหูของเราจะดักจับเสียงรอบข้างและนำเสียงเหล่านั้นเข้าสู่ท่อปลายปิดที่หูชั้นนอกหรือที่เรารู้จักกันในชื่อว่าแก้วหู ซึ่งมีหน้าที่เป็นหนังกลองเสียง เมื่อมีเสียงกระทบที่หนังกลองเสียง แก้วหูจะเกิดแรงสั่นสะเทือนและส่งต่อแรงสั่นสะเทือนนี้ไปยังกระดูกหูทั้ง 3 ชิ้นที่อยู่บริเวณหูชั้นกลางชื่อว่า โคเคลีย (Cochlea) มีลักษณะเป็นท่อม้วนขดและมีน้ำหล่อเลี้ยงภายใน เมื่อเสียงกระทบกับน้ำหล่อเลี้ยงจะทำให้เซลล์ในประสาทและผนังเทกโตเรียลประจุไฟฟ้าจะทำงาน จากนั้นระบบเส้นประสาทหูส่งต่อไปยังสมองเพื่อประมวลผลเป็นคำพูด ความหมาย และภาพ จากนั้นสมองจะสั่งการโต้ตอบเป็น คำพูด อารมณ์และการกระทำ
มลพิษจากเสียงหรืออันตรายจากเสียงเกิดจากสาเหตุใดบ้าง
อันตรายจากเสียงดังเกิดจากการที่คุณได้ยินเสียงที่ดังเกินกว่ามาตรฐานคือ 80 เดซิเบล(dB) ซึ่งระดับเสียงที่เป็นมิตรกับหูจะอยู่ที่เสียงดังระดับ 75 เดซิเบล(dB) การที่คุณได้ยินเสียงแตรรถยนต์ เสียงท้อรถยนต์ เสียงประทัด เสียงฟ้าร้อง เสียงปืน เสียงเครื่องบิน เสียงจากเครื่องเสียงต่าง ๆ เสียงเครื่องจักรโรงงาน และเสียงเครื่องมือทำบ้านหรือเสียงเครื่องมือทำถนน ติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้ระบบการได้ยินของคุณเสื่อมสภาพลงเรื่อย ๆ ซึ่งส่งผลต่อการได้ยินในอนาคต นอกจากนี้การที่คุณได้ยินเสียงเหล่านี้ใกล้หูในระดับที่ดัง ๆ มาก ๆ กะทันหัน จะส่งผลให้หูของคุณอื้อชั่วขณะ
เสียงดังมีกี่ประเภท
เสียงดังคือ เสียงใดก็ตามรอบข้างที่ดังเกินกว่ามาตรฐานกำหนดตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ว่า ลูกจ้างหรือบุคลากรใดก็ตามที่ทำงานอยู่ภายใต้เสียงดังเกินกว่า 80 เดซิเบลนานเกิน 8 ชั่วโมง จะก่อให้เกิดอันตรายต่อระบบการได้ยินโดยตรง ซึ่งระดับเสียงของแต่ละเดซิเบลที่มีผลต่อการได้ยินจะมี 5 ระดับด้วยกัน ดังนี้
- เสียงดังระดับ 75 เดซิเบลคือ ระดับเสียงที่เป็นมาตรฐานไม่รบกวนประสาทหูและไม่ก่อให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบการได้ยินในอนาคต
- เสียงดังระดับ 80 เดซิเบล ต้องได้รับเสียงติดต่อกันไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมง
- เสียงดังระดับ 90 เดซิเบล ต้องได้รับเสียงติดต่อกันไม่เกินวันละ 7-8 ชั่วโมง
- เสียงดังระดับ 91 เดซิเบล ต้องได้รับเสียงติดต่อกันไม่เกินวันละ 7 ชั่วโมง
- เสียงดังระดับ 140 เดซิเบล ประสาทหูไม่ควรได้รับเสียงดังระดับนี้ทุกกรณี
การได้รับเสียงในระดับที่เกินกว่ามาตรฐานกำหนดจะส่งผลให้เกิดอาการ ดังนี้
- หงุดหงิด
- รบกวนการสื่อสาร
- ส่งผลต่อการนอน
- ไม่มีสมาธิ ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ
- สูญเสียการได้ยินชั่วขณะหรือถาวร
องค์ประกอบของเสียงมีอะไรบ้าง
องค์ประกอบของเสียงแบ่งออกเป็น 3 ประเภทดังนี้
- Frequency (ความถี่เสียง) คือ เสียงสูง กลาง ต่ำ หากคลื่นเสียงมีการสั่น 1000 รอบใน 1 วินาที หมายความว่า คลื่นนี้มีความถี่ 1000Hz (1kHz)
- Wavelength (ความยาวคลื่น) คือ คือระยะทางของคลื่นเสียงจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง โดยมีหน่วยเป็นเมตร เช่น ความยาวคลื่นความถี่ 100Hz ที่อุณหภูมิ 15 องศาเซลเซียส ใน 1 วินาทีจะได้ความเร็วเสียงเท่ากับ 340 เมตร
- Amplitude (แอมปลิจูด) คือ ความสูงของเสียง ซึ่งประสาทรับรู้เสียงของเราสามารถรับรู้ความดังได้ตั้งแต่ 0dB และสามารถทนต่อความดังได้สูงสุด 120dB
ประเภทของเสียงโดยทั่วไป
เสียงแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
เสียงบริสุทธิ์
เสียงบริสุทธิ์ คือ เสียงที่มีความถี่เดียวโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงของระดับเสียง เช่น การเคาะซ่อมเสียง เป็นต้น
เสียงผสม
เสียงผสม คือ เสียงที่เกิดจากการผสมผสานเข้ากับคลื่นความถี่ของเสียงบริสุทธิ์ เช่น เสียงดนตรี เสียงนก และเสียงพูดคุย เป็นต้น
เสียงรบกวน
เสียงรบกวน คือ เสียงที่เกิดจากความดังเกินมาตรฐานกำหนดซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายกับหู เช่น เสียงเพลงดัง ๆ เสียงท่อรถแต่ง เสียงขุดเจาะและเครื่องจักรทำงาน เป็นต้น
ประเภทของเสียงแบ่งตามลักษณะการเกิดเสียง
ประเภทของเสียงแบ่งออกเป็น 3รูปแบบ ดังนี้
เสียงดังแบบต่อเนื่อง (continuous Noise)
เสียงดังแบบต่อเนื่อง (continuous Noise) คือ เสียงที่ดังต่อเนื่องไม่มีหยุด และเสียงดังแบบต่อเนื่องนี้ยังสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบ ดังนี้
1.1 เสียงดังต่อเนื่องแบบคงที่ (steady-state Noise) คือ เสียงที่ดังอย่างต่อเนื่องโดยมีการเปลี่ยนแปลงของระดับเสียงไม่เกิน 3 เดซิเบลหรือไม่มีการเปลี่ยนแปลงของระดับเสียงเลย เช่น เสียงพัดลม เสียงเครื่องสักผ้า เสียงเครื่องปั่นด้าย และเสียงเครื่องทอผ้า เป็นต้น
1.2 เสียงดังต่อเนื่องที่ไม่คงที่ (Non-steady state Noise) คือ เสียงที่ดังอย่างต่อเนื่องโดยมีการเปลี่ยนแปลงของระดับเสียงเกิน 10 เดซิเบล เช่น เสียงเลื่อยและเสียงเครื่องจักร เป็นต้น
เสียงดังเป็นช่วงๆ (intermittent Noise)
เสียงดังเป็นช่วงๆ (lntermittent Noise) คือ เสียงที่มีความดังและเบาสลับไปมาเป็นช่วง ๆ ไม่ต่อเนื่อง เช่น เสียงการจราจร เสียงเครื่องบินเวลาบินผ่าน เสียงเครื่องปั๊มน้ำ และเสียงเครื่องปั๊มลมเป็นต้น
เสียงดังกระทบ หรือ เสียงดังกระแทก (impact or impulse Noise)
เสียงดังแบบกระทบหรือเสียงดังแบบกระแทก (lmpact or lmpulse Noise) คือ เสียงที่ดังและมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่า 40 เดซิเบล โดยใช้เวลาดังขึ้นและจบลงขั้นต่ำ 1 วินาที เช่น การขุดเจาะ การตอกเสาเข็ม การทุบ และการปั๊มงาน เป็นต้น
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการได้ยิน
เสียงที่อันตรายต่อหูมีอะไรบ้าง ดังนี้
- เสียงดัง
การที่หูได้รับเสียงดังเป็นเวลานานหรือได้รับเสียงดังแบบกะทันหัน จะส่งผลให้เกิดอาการหูอื้อและหูดับชั่วขณะจนไปถึงขั้นหูหนวกถาวร
- อายุ
เมื่ออายุมากขึ้นอวัยวะในร่างกายจึงเสื่อมสภาพตามไปด้วย รวมไปถึงโครงสร้างของหูชั้นในที่ส่งผลทำให้การได้ยินน้อยลง
- พันธุกรรม
อาการหูหนวกสามารถถูกถ่ายทอดผ่านทางพันธุกรรมได้
- ความเครียดและการพักผ่อน
หากคุณมีความเครียดสะสมที่ส่งผลต่อการนอนหลับ จะทำให้ระบบประสาทหูเสื่อมสภาพได้
- อาการเจ็บป่วย
โรคไข้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ จะส่งผลให้เกิดอาการหูดับหรือหูหนวกถาวร
- ยา
หากรับประทานยาแอสไพรินหรือยาขับปัสสาวะเกินปริมาณที่ร่างกายต้องได้รับเป็นเวลานาน จะส่งผลให้สูญเสียการได้ยินหรือเกิดอาการเสียงดังในช่องหู (Tinnitus)
อาการที่ชี้ให้เห็นว่าเราอาจเริ่มสูญเสียการได้ยินจากเสียงดัง
- ไม่สามารถได้ยินเสียงหรือได้ยินเสียงไม่ชัดขณะที่สื่อสารกับบุคคลอื่นในระดับเสียงพูดแบบปกติ
- หลังจากได้ยินเสียงดัง มีอาการหูอื้อและหูดับชั่วขณะ
- มีอาการหูอื้อบ่อยครั้ง ทำให้ประสาทการรับรู้เสียงลดลง
- บางครั้งอาจเกิดเสียงดังภายในหู
วิธีการป้องกันอันตรายจากมลพิษทางเสียง
เราสามารถถนอมหูและป้องกันหูจากมลพิษทางเสียงได้ เช่น การหลีกเลี่ยงไม่เข้าใกล้สถานที่เสียงดัง ควบคุมเสียงเพลงให้อยู่ในระดับมาตรฐาน ปิดหน้าต่างและประตูหากมีการซ่อมแซมบ้านโดยใช้อุปกรณ์เครื่องจักร หรือถ้าหากคุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงเสียงดังได้ คุณจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เสริมเพื่อช่วยลดความดังของเสียงที่เข้ามากระทบหู
อุปกรณ์ป้องกันเสียงที่นิยมใช้กันมีดังนี้
- EARPRO-S ที่อุดหูลดเสียงซิลิโคน
วัสดุมีความอ่อนนุ่มสวมใส่สบาย เนื่องจากผลิตจากยางสังเคราะห์ ตัวปลั๊กสามารถทำความสะอาดได้ และที่สำคัญสามารถลดค่าเสียงได้ถึง NRR 27 dBa
- ที่ครอบหูลดเสียง 3M รุ่น H10P3E ชนิดประกอบหมวกนิรภัย
แผ่นรองที่ครอบหูถูกออกแบบด้วยวัสดุนุ่มกระชับพิเศษ เพื่อช่วยลดแรงกดที่ใบหู และสามารถลดค่าเสียงได้ถึง 27 เดซิเบล รวมไปถึงสามารถป้องกันเสียงดังระดับ 105 เดซิเบล
- ที่ครอบหูลดเสียง 3M Peltor Optime 98 รุ่น H9A
ที่ครอบหูมีความกระชับและอ่อนนุ่ม สามารถลดแรงบีบใบหูและป้องกันการสั่นพ้องได้ดี ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก ANSI 3.19-1974 ซึ่งสามารถป้องกันเสียงที่มีความถี่สูงและต่ำได้ มีค่าการลดเสียงได้ถึง NRR 25 dB และที่สำคัญมีตัวเลขแจ้งค่าเสียงบนอุปกรณ์ที่ป้องกันได้ถึง 95 dBA
สรุป
หากคุณอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงมลพิษทางเสียงได้ เราขอแนะนำตัวช่วยที่จะสามารถถนอมหูเพื่อป้องกันระบบประสาทด้านการได้ยินมีปัญหาในอนาคต โดยการใช้อุปกรณ์ป้องกันเสียงหรือ อุปกรณ์เซฟตี้ที่มีมาตรฐานรองรับประสิทธิภาพการทำงาน หากคุณสนใจจัดซื้ออุปกรณ์ป้องกันเสียง สามารถปรึกษาทีมผู้เชี่ยวชาญได้ที่
บริษัท ซานโต ไฟร์ โปรดักท์ จำกัด 6/53-55 ซอยแสงอุทัยทิพย์ ถนนดินแดง แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร 10400
โทร. 02-245-9560, 02-248-3087
อีเมล: st.santofire@gmail.com
Line: @santofire